1
ต้องบอกก่อนนะค่ะ ว่ารีวิวนี้เป็นรีวิวครั้งแรกในชีวิต และมันผ่านมาถึง 3 ปีแล้ว กับการเดินทางคนเดียวของผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่รู้จะแซ่บโดนใจใครบ้างหรือเปล่านะค่ะ 555 ต้องลองดู
การเดินทางคนเดียวใคร ๆ ก็คิดว่ามัน "เหงา" แต่จริง ๆ แล้วมันก็มีข้อดีอยู่ในตัวของมันเองอยู่บ้าง มันทำให้เรามีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้เห็นรายละเอียดชีวิตมากชึ้น มีเวลาจดบันทึกการเดินทาง นี้ล่ะข้อดีของการเดินทางคนเดียว (ถ้าไปกับเพื่อนนะ มัวแต่เม้าส์มอย 555)
การเดินทางของเรานั้น...ความสุขไม่ใช่อยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่มันหล่นอยู่ตามทางเดินระหว่างทางที่จะไปจุดหมายมากกว่า การได้เห็นวิถีของคน ได้เห็นวัฒนธรรม ได้เห็นบ้าน ได้เห็นเมือง ได้เห็นการใช้ชีวิตที่ช้าลงของเค้าต่างหาก ผ่านทางสายตา บันทึกและจดจำด้วยใจ บางครั้งถ่ายทอดออกให้รูปของแผ่นกระดาษเล็ก ๆ แต่ส่งถึงคนไกล ๆ ที่คิดถึง แต่บางครั้งอาจจะอยู่ในรูปของตัวหนังสือก็เป็นได้
มาเริ่มเดินทางกันดีกว่า เราใช้เวลา 5 วันที่การเก็บเกี่ยวความสุข
ออกเดินทางด้วยรถทัวร์ เราไปกับสมบัติทัวร์นะ บริการดี คนขับรถก็ดีเลิศ (ไม่ได้อวยนะเออ 555) ราคาอยู่ 562 บาท เวลารถออก 19.30 น. เราไปถึงทุ่งช้างประมาณ ตี 5 เกือบ 6 โมง ซึ่งเราได้โทรนัดกับรถตู้ให้มารับเราที่ บ. สมบัติทัวร์ เพื่อที่เราจะไปด่านห้วยโก๋น ราคาอยู่ที่ 100 บาท เราจะข้ามไปลาวกันทางด่านนี้นะค่ะ เส้นทางที่ไปก็จะคด ๆ เคี้ยว ๆ ผ่านโค้ง ผ่านหมอกจาง สลับกันไปนะค่ะ
พอเรามาถึงที่ด่าน มันจะมีตลาดให้เราเดินเล่นนะค่ะ เราก็เดินเล่นไปเรื่อย ๆ แวะถ่ายรูปเด็ก ๆ ไทยบ้าง ลาวบ้าง อากาศดีเชียวค่ะ เราเลยเดินได้เพลิน ๆ ชิวกันไปค่ะ
เราจะไปทำเรื่องผ่านแดนกัน เพื่อไปท่ารถเมืองเงิน เพื่อที่จะต่อรถไปปากแบ่ง จากที่เราทำการบ้านมา ที่ด่านห้วยโก๋น ไปท่ารถเมืองเงินเนี่ย มันประมาณ 30 กิโลมั่งนะ เอาล่ะหว่าาาาา จะไปยังไงดี หลังจากทำเรื่องผ่านแดนที่ห้วยโก๋นล่ะ เดินงง ตุ๊ปัด ตุ๊เป๋ไป ก็ไปเจอกับรถสองแถว เค้าคงเห็นเราหน้างง 555 เลยถามว่าเราจะไปไหน ได้ความเช่นนั้นเราตกลงราคากันที่ 40 บาท
จากด่านนี้ เราเสียค่าล่วงเวลา 10 บาท
เมื่อมาถึงด่านเมืองเงิน เราต้องลงเดินเพื่อไปทำเรื่องเข้าเมืองลาว ตรงนี้เราเสีย 40 บาทนะค่ะ
เท่ากับ 5,000 กีบ (จริง ๆ มันแค่ประมาณ 20 บาท แต่เอานะ เราไม่มีได้แลกเงินกีบนะ ก็ยอม ๆ กันไป)
ที่ด่านคนก็จะเยอะนิดนึง เจ้าหน้าที่เค้าก็จะถามเราว่าไปไหน มายังไง กลับยังไง ดีนะที่เจ้าหน้าที่ฟังภาษาไทยได้ ไม่งั้นงานมือต้องมานะ 5555 จากนั้นไปกันต่อค่ะ เมื่อมาถึงท่ารถประมาณ 9 - 10 โมง ได้สอบถามเวลารถวิ่งได้ความว่า รถที่จะไปปากแบ่งมีวันละ 1 รอบ คือ 12.00 น. (คือ รถคันเดียวกับที่ไป ไชยบุรี / หงสา) แม่เจ้าาาาาาา
กว่ารถจะออกก็นั่งแง่ววววว ไป แต่ดีที่คุณยายแก่ ๆ คนหนึ่งมานั่งคุยเป็นเพื่อน เค้าก็ถามไถ่ ไปไงมาไง มาคนเดียวหรอ ไอ้เราก็คุยตามคนอัธยาศัยดีเฟ่อร์ !!!!
รถที่เราจะไปปากแบ่ง คือรถบัสปรับอากาศ (แต่ไม่ได้เปิดแอร์นะจ๊ะ เปิดกระจกรับลมธรรมชาติ) แทนค่ะ สนนราคาอยู่ที่ 35,000 กีบ
เราจะข้ามโป๊ะกันด้วยนะ ระหว่างที่เรานั่งมา เราก็บอกคนรถ ซึ่งเป็น ผู้หญิงว่าเราจะไปปากแบ่ง ต้องลงตรงไหนบอกเราด้วยนะ เราไม่เคยมา เคยก็บอก ได้ ๆ เค ๆ เค้าก็ถามเรามาเที่ยวหรอ มาคนเดียวหรอ ดูแลตัวเองดี ๆ นะ
อัตราค่าโดยสารที่ท่ารถเมืองเงิน
จากนั้น พอข้ามโป๊ะมาได้สักพัก พี่ผู้หญิงที่เป็นคนรถ (น่าจิเป็นภรรยาคนขับ) บอกถึงแว้ววววว "ปากแบ่ง" แต่พอเรามองลงไป เฮ้ย!!! มันใช่หรอค่ะ (เท่า ที่เราทำการบ้านมามันต้องเป็นเมืองเล็ก ๆ มีท่าเรืออยู่ด้วย มีตลาดด้วย)
เพราะที่เรามองลงไปมันมีแต่ ถนน และสองข้างทาง พี่ผู้หญิงบอกใช่ เนี่ยเดินลงไปทางนี้ใกล้นิดเดียว ถ้าไปลงตรงปากทางมันเดินไกล พร้อมกับผายมือไปที่ถนนเล็ก ๆๆๆ เราหันไปถามอีกที 555 ด้วยหน้าเอ๋ออออ ถ้าลงแล้วเดินไปทางไหน พี่เค้าบอกเดินตรงไปเรื่อยยยยย น้ำตาเก๊าจิไหล เรื่อยๆ ไปพี่ 555 น้องกลัววว
พอเดินลงจากรถ เราก็เดินเข้าไปตามทางที่เค้าบอก เดินไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ จริง ๆ ยังไม่มีบ้านคนเลยยย เริ่มใจเสีย เฮ้ย!!! เราไม่น่าลงเลย จะไปถามใครได้เนี่ย เดิน ๆ เดินไป ได้สักพัก แม่เจ้าาาาา เริ่มเห็นหลังคาบ้านคน เยส!!!!! ปลื้มปริ่มไม่รอช้า ขอโทษนะค่ะ ถ้าจะไปเมืองปากแบ่งนู๋ต้องเดินไปทางไหน เมื่อได้ความเราก็ออกเดินไป เพราะต้องรีบไปหาที่พักสำหรับคืนนี้ด้วย
บ้านนี้เป็นร้านขายน้ำมัน
พอมาถึงก็เดินทางที่พัก จนมาได้ที่นี้ ราคาอยู่ที่ 250 เป็นห้องพัดลม ไม่รอช้าเรารีบเอากระเป๋าเก็บ และอาบน้ำอาบท่า ออกไปหาไรกิน แต่!!!! เรื่องยังไม่หมดครับ พอเข้าห้องน้ำไป มองไปบนฝ้า อ๊าจ๊ากกก ฝ้าถูกถอดออกไปประมาณ 3 แผ่น ทำไงดี ๆ เดินออกมากะจะเปลี่ยนห้อง แต่พี่ที่ดูแลบอกเหลือห้องเดียว แต่ดีหน่อยมันสามารถล็อกกลอนห้องน้ำด้านนอกได้ ก็เลยสบายใจไปหน่อย แต่ที่นี่มีน้ำอุ่นให้นะจ๊ะ
ปากแบ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ เป็นเมืองทางผ่าน แต่สำหรับ เราชอบที่นี้นะ มันน่ารัก ดูเงียบ สงบดี แม้ใครจะมองว่ามันเป็นแค่ทางผ่านไปหลวงพระบาท คนที่นี้ก็น่ารัก ชอบ ๆ
เดินเข้าไปไม่รอช้าสั่งอาหารยอดฮิต 555 กะเพราหมู-ไข่ดาว และยอดข้าว 1 ขวด เช็คบิลมา 25,000 กีบ อิ่มแต้ไป
จากนั้นเดินย่อยสักพักก็เข้านอน แต่พอช่วงประมาณเกือบตี 1 สะดุ้งตื่น ได้ยินเหมือนเสียงคนคุยกัน และเดินไป เดินมาตลอด เฮ้ย!!! หรือเราจะเจอดี เอาผ้ามาคลุมโปง ไม่กล้าเปิดดู ได้แต่สวดมนต์นอนคลุมโปงไปงั้นทางคืน 555 แต่จริง ๆ มันคือฝรั่งกลับมาจากดื่มกันและเดินกลับห้อง คริคริ กลัวซะขี้ขึ้นสมอง
วันนี้เราจะนั่งเรือไปหลวงพระบาทกัน ใช้เวลาประมาณ 10 ชม.
สะบายดีปากแบ่ง อากาศยามเช้า หมอกบาง ๆ ลมเย็น ๆ (ฝั่งนี้เดินไปทางท่าเรือ)
ออกไปเดินเล่นที่กันที่ตลาดเช้าดีกว่า (ด้านนี้เดินไปตลาด)
ของที่ขายก็พืชผัก ที่ปลูกตามบ้านกันเองเนี่ยล่ะ
จากนั้นเราเดินไปทางเรือ ว่าจะไปถามเรื่องตั๋วพอไปถึง พี่เค้าบอกไม่ต้องจองมาขึ้นเรือได้เลย แล้วค่อยจา่ยเงินบนเรือ พร้อมตั๋ว เรือออกตั้งแต่ 8 โมง ออกทุก ครึ่งชั่วโมง
เดินเล่นได้สักพักก็กลับไปอาบน้ำ เตรียมตัวนั่งเรือไปหลวงพระบาท ระหว่างเดินกลับแวะหาไรกิน เป็นอาหารเช้าง่าย ๆ เพราะกลัวหิวบนเรือ เพราะกว่าจะไปถึงน่าจะประมาณ 5-6 โมงเย็น
กาแฟหอม ๆ พร้อมขนมปังปิ้ง ไข่ดาว มื้อนี้จ่ายไป 30,000 กีบ
บนเรือมีแต่ฝรั่ง มีคนไทย 2 คน คือเรา กับผู้ชายอีกคน ที่นั่งหัวเรือ ส่วนใหญ่ฝรั่งจะมีหนังสือมาอ่านกันนะ เราได้แต่ถ่ายรูปไปเรื่อย บ้างช่วงก็หลับ 555 เก็บพลังก่อน
ใจจริงอยากรีบเดินไปหาห้องพักให้ได้ก่อนนะ แต่พระอาทิตย์มันก็เย้ายวนใจให้หลงใหลเหลือเกินที่จะต้องกดชัตเตอร์
เมื่อได้ภาพสมใจล่ะ ต้องไปก็เดินหาที่พักกัน เดินเลาะ ๆ ริมโขงไป มีหลายที่อยู่ แต่เราได้ที่นี่เงียบดี เดินไปตลาดมืดก็ง่าย เป็นห้องแอร์ด้วย ที่สำคัญมี wifi ฟรี จะได้ส่งข้อความถึงคนทางบ้านว่าปลอดภัยดี ตอนนี้อยู่ที่หลวงพระบาทแล้ว มีระเบียงให้นั่งชิวได้ด้วย ราคา 120,000 กีบ
วันที่ 3 วันนี้เราจะไปตักบาตรข้าวเหนียว เที่ยววัด นอนรถนอนไปเวียงจันทร์ต่อ คนที่นี้จะนั่งกับพื้นใส่บาตร
วันนี้เราต้องไปจองตั๋วรถนอนกลับไปเวียงจันทร์ เราจะปั่นจักรยานไป 555 มาดูกันว่าไหมไหวว มาถึงหลวงพระบาท ตื่นเช้ามามันต้องโดนกาแฟร้านนี้นะ "ประชานิยม" เค้าว่ามันอร่อย คนกินเยอะ ว่าแล้วเราก็ออกปั่นไปเลาะ ๆ ริมน้ำไปเรื่อย ๆ ก็เจอล่ะ คนเยอะเหมือนกัน
ส่วนใหญ่ทัวร์จะลงนะ เพราะตอนที่เรานั่งก็มีไกด์ลาวคนหนึ่ง พาลูกทัวร์มากิน เลยได้คุยกันนิดหน่อย จากนั้นเราก็ขอตัวไปเดินเล่นที่ตลาดเช้า ใกล้ ๆ ตลาดเช้ามีวัด ๆ หนึ่งด้วยนะ ต่อจากนั้นเราก็ไปสถานีรถนาหลวง ที่นี่มีรถไปเวียดนาม ไปจีนได้ด้วยนะ แต่กว่าจะถึงเล่นเอาหอบแฮ่กกก ทั้งปั่น ทั้งเข็น ทั้งจุง 555 แก่แล้วก็งี้ เหนื่อยง่ายฉิบบ ขาไปตั้งหน้า ตั้งตาปั่นไปหน่อยแล้วไม่ได้แวะไหน ขากลับเลยได้แวะถ่ายรูปบ้าง แต่ดี่หน่อยไม่ค่อยร้อนมากเท่าไหร่ ตลาดเช้า
วัดโพนไซซะนะสงคราม
ช่องจำหน่ายตั๋ว ไปเวียงจันทร์ จะอยู่ติดกับช่องที่ไปโพนสะหวัน เราจองตั๋วรถนอน รถออก 20.00 น. ราคา 150,000 กีบ (เพิ่งได้รู้ตอนขึ้นรถ ว่ามันเป็นรถนอนจริง ๆ เอ่อ)
พอออกจากบ้านนาหลวงมา เราจะผ่านตลาดโพสี ตลาดผลไม้
ผ่านตลาดโพสีมา จะเจอวัดพระบาทใต้
ปั่นมาเรื่อย ๆ ก็จะเจอวัดพระมหาธาตุราชบวรวิหาร (วัดทาดน้อย)
วัดหอเซียงวรวิหาร
จากนั้นกลับไปเก็บของเตรียมเช็คเอาท์ นอนพักเอาแรง เติมพลังด้วยยอดข้าว 555
จากนั้นเมื่อหายเหนื่อยก็ไปต่อกันที่ร้านโจมา เบเกอรี่เลิศรสอ่าา
ส่วนใหญ่ที่หลวงพระบางจะมีวัดเยอะ เราเลยเน้นไปที่วัดอย่างเดียว ไม่ได้ไปน้ำตกเลย เพราะเราคิดว่าถ้าไปน้ำตกน่าจะไปกับเพื่อน ๆ กระโดดน้ำกันให้ตุ้มตาม ครื้นเครงกันไปดีฟ่า ปั่นออกมาจากที่พักก็เกือบบ่ายล่ะ เราว่าจะไปวัดเชียงทอง กับแวะหาไรกินสักหน่อย วัดใหม่สุวรรณภูมารามหรือที่ชาวหลวงพระบางเรียกกันสั้นๆว่า "วัดใหม่"
เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชบุญทัน ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์สุดท้ายของลาวและยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระบาง พระพุทธรูปคู่เมืองหลวงพระบางในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินฤทธิ์ จนกระทั่งถึงปีพ.ศ. 2437 จึงได้อัญเชิญพระบางไปประดิษฐานในหอพระบางภายในพระราชวังจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
เมื่อมาเยือนวัดแห่งนี้สิ่งที่เราจะสังเกตเห็นถึงความแตกต่างจากวัดอื่นๆ คือตัวอุโบสถ(สิม) ลักษณะจะเป็นอาคารทรงโรง หลังคามีขนาดใหญ่ มีชายคาปกคลุมทั้งสี่ด้านสองระดับต่อเนื่องกัน
เสียดายตอนเราไปมันปิดทุกวันอังคาร เลยได้แต่ชะเง้อ ชะแงะเอาแทน
วัดสบสิขาราม ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่าสร้างโดยพระเจ้าแท่นคำในปีพ.ศ. 20248 เดิมวัดนี้ชื่อ "วัดสบเชียงทอง" เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระราชบิดาของพระองค์ ที่ทรงสวรรคต ณ.เมืองเชียงคาน
ไฮไลท์ของการมาเยือนเมืองหลวงพระบางคงหนีไม่พ้นการได้มาเที่ยวชม "วัดเชียงทอง" ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญและมีความงดงามที่สุดแห่งนี้ จนได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว วัดเชียงทองถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หลังจากสร้างวัดนี้ไม่นานพระองค์ก็ทรงย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทน์ และวัดนี้ยังได้รับการอุปถัมภ์ดูแลจากเจ้ามหาชีวิตสว่างวงศ์และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา
กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของลาว เมื่อเดินทางมาถึงวัดนี้สิ่งแรกก็คือการไปชมพระอุโบสถหรือที่ภาษาลาวเรียกว่า “สิม” แม้ขนาดจะดูไม่ใหญ่โตแต่ก็แสดงถึงสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบหลวงพระบางแท้ๆ ด้วยหลังคาพระอุโบสถที่แอ่นโค้งซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น ลดหลั่นเกือบจรดฐานจนแลดูค่อนข้างเตี้ย ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองซึ่งชาวลาวจะเรียกว่า “ช่อฟ้า” ประกอบด้วย 17 ช่อ อันมีความหมายว่าเป็น
ผนังภายในก็สวยงามด้วยลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ เล่าเรื่องพุทธประวัติพระสุธน-มโนราห์ ทศชาติชาดกและภาพนิทานเพื่อนบ้าน ลึกเข้าไปคือพระประธานซึ่งมีชื่อว่า “พระองค์หลวง” นอกจากวัดเชียงทองจะมีพระอุโบสถที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านช้างแล้ว การตกแต่งลวดลายตามผนังภายในก็สวยงามไม่แพ้กัน อย่างบริเวณผนังด้านหลังของพระอุโบสถก็มีการตบแต่งด้วยการนำกระจกสีมาตัดต่อกันเป็นรูปต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ด้านข้างก็ติดเป็นรูปสัตว์ในวรรคดี ยามบ่ายที่แสงแดดส่องสะท้อนลงมาดูงดงาม
ถัดมาบริเวณด้านข้างและด้านหลังของพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของวิหารเล็กๆ 2 หลัง จุดเด่นของวิหารด้านหน้าคือ ที่ผนังด้านนอกแต่ละหลังตกแต่งด้วยกระจกสีตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาต่อกันเป็นรูปร่างต่างๆ เล่าเป้นนิทานพื้นบ้านลงบนผนังสีชมพู ดูสวยงามน่ารักตามแบบฉบับชาวหลวงพระบางเลยทีเดียว วิหารหลังเล็กด้านข้างพระอุโบสถที่มีชื่อว่า “วิหารแดง” ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่งดงาม
ซึ่งเป็นที่เก็บอัฐิของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์และด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับรั้วเป็นโรงเก็บเรือใกล้กับริมแม่น้ำโขง ส่วนด้านหน้าพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของหอกลองมีลวดลายลงรักปิดทองสวยงามบนเสา นอกจากนั้นในบริเวณวัดเชียงทองเมื่อท่านเดินเข้าไปทางด้านถนนโพธิสารราช ด้านขวามือจะต้องสะดุดตากับอาคารทรงโบราณมีลวดลายแกะสลักทาสีทองอร่าม
เริ่มเย็นล่ะ ได้เวลากลับที่เพื่อเตรียมตัวเดินทาง เราให้ทางที่พักหารถสกายแล็ปให้ไปส่งเราที่บ้านนาหลวงบอกให้มารับเราตอนทุ่มครึ่ง เพราะรถเราออก 2 ทุ่ม ช่วงที่ยังไม่ถึงเวลาเราก็ไปเดินเล่นที่ตลาดมืด ได้ผ้าผันคอมา 5-6 ผืน เราให้น้องที่ดูแลไป 1 ผืน แล้วบอกว่าจะกลับมาเทียวอีกนะ (เด๋วสงกรานต์นี้จะไปหาอีกนะจ๊ะ สาวน้อย) พอถึงเวลารถก็มารับเรา
ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาทีมาถึงบ้านนาหลวง เฮ้ย!!!! เมื่อเช้าตรูปั่นมาไงฟร่ะเป็นชั่วโมง Bye Bye หลวงพระบาท เจอกันที่เวียงจันทร์นะฮ่ะ รถนอน VIP เราไปกับคันนี้นะฮ่ะ ก่อนขึ้นรถต้องถอดรองเท้าก่อน เราได้นอนชั้นบน แม่เจ้าต้องห้ามดื้น เพราะกลัวหล่น ไหนจะต้องระวังรถโครงเคร้งอีก โอ๊ยจะหลับไหมฉันคือเน้ ทางก็นะมีขึ้นเขา ลงเขา ทางโค้ง มาครบบ แต่ก็หลับไปบ้างช่วงนะ ตื่นมาอีกทีเฮ้ยจะถึงเวียงจันทร์ล่ะ
ที่เวียงจันทร์ส่วนใหญ่เราก็เที่ยวประตูชัย หอพระแก้ว และก็ละแวกใกล้ เพราะเราต้องใจไปหารุ่นพี่เราที่อยู่ที่เวียงจันทร์ นั่งทานข้าวกันแล้วก็จะกลับ กรุงเทพฯช่วงเย็น ๆ จบรีวิวเพียงเท่านี้นะฮ่ะ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะฮ่ะ มือใหม่หัดรีวิวววววว